วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

ประวัติส่วนตัว



 

ชื่อ - สกุล   นางสาว กุสุมา คีรีไพรทอง






            
2 มิถุนายน 2534


ปี


เพื่อนร่วมแก๋ง  กล้วย แนน   นี  แอร์

ศึกษาอยู่ที่   มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่

สาขา  การศึกษาปฐมวัย

ระดับชั้น  ระดับชั้นปีที่ 2



ที่อยู่     13/2 หมู่7 ต.แม่วิน อ.แม่วาง
               จ.เชียงใหม่     50360                                                   

งานอดิเรก
           ฟังเพลง  ดูหนัง
           รายการโปรด  Take Me Out Thailand




ศิลปินที่ชอบ

          นักร้องคนโปรด ปาน ธนพร  วิคไฮเปอร์
           นักแสดง พี่บอย ปกรณ์
          




เพลงที่ชอบ  เรื่องง่ายๆ ที่ผู้ชายไม่รู้




นิสัย  เจัาอารมณ์ ขี้บ่น  แต่มีน้ำใจ



อาหารโปรด


         น้ำพริกกะปิ         ปลานิ้ง

         

  ผลไม้ที่ชอบ สับปะรด , มังคุดดูมา


 





งานอดิเร        ดูหนัง  ฟังเพลง  เที่ยวบ้างเล็กน้อย

คติประจำใจ    ทำวันนี้ให้ดีที่สุด 

      Email        kusuma-2-@hotmail.com 


      อุปกรณ์ Input



      หน่วยรับข้อมูล (INPUT UNIT)

              การรับข้อมูล (input) หมายถึงกระบวนการป้อนข้อมูล คำสั่ง โปรแกรมเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ ตลอดจนการโต้ตอบของผู้ใช้โปรแกรม กับเครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้คำว่า input ยังหมายถึงอุปกรณ์ซึ่งสามารถป้อนข้อมูลและคำสั่ง หรือโปรแกรมเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ได้

              หน่วยรับข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่ข้อมูลและโปรแกรมเข้าสู่ระบบโดยผ่านทางอุปกรณ์รับข้อมูล

              อุปกรณ์รับข้อมูล (INPUT DEVICES)
              อุปกรณ์รับข้อมูล สามารถจำแนกได้เป็น 4 ประเภทดังนี้

              1. อุปกรณ์แบบกด (keyed device)          อุปกรณ์ประเภทนี้ ได้แก่ แป้นพิมพ์ หรือ keyboard แป้นพิมพ์เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลที่นิยมใช้กันโดยทั่วไป ซึ่งจะประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก ๆ ดังนี้



                      - แป้นอักขระ (alphabetic keys)
                               เป็นแป้นที่มีการจัดวางอักขระเหมือนกับแป้นพิมพ์ดีดทั่วไป

                      - แป้นตัวเลข (numeric keypad)
                               เป็นแป้นตัวเลขทางขวามือ ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับงานที่ต้องป้อนข้อมูลตัวเลขเป็นประจำ

                      - แป้นฟังก์ชัน (function keys)
                               เป็นแป้นที่อยู่บนแถวแรกของแป้นพิมพ์ ใช้สัญลักษณ์ F1-F12 แป้นฟังก์ชันเป็นแป้นทางลัดในการเลือกคำสั่ง ซึ่งแต่ละแป้นได้มีการ บันทึกคำสั่งไว้แล้ว และแป้นฟังก์ชันของแต่ละโปรแกรมจะทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป โปรแกรมสำเร็จรูปส่วนใหญ่จะกำหนดแป้นฟังก์ชันเพื่อเข้าถึงคำสั่งโดยทางลัดได้

                      - แป้นลูกศร (arrow keys)
                               เป็นแป้นที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนที่ของเคอร์เซอร์

                      - แป้นควบคุม (control keys)
                               เป็นแป้นพิมพ์ที่ทำหน้าที่ร่วมกับแป้นพิมพ์อื่น ๆ เช่น แป้น Ctrl แป้น Shift และแป้น Alt เป็นต้น




              นอกจากแป้นพิมพ์ที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยทั่วไปแล้ว ยังมีแป้นพิมพ์แบบไร้สาย (wireless) ที่สามารถทำงานกับคอมพิวเตอร์ ผ่านแสงอินฟาเรด และยังมีปุ่มเมาส์อยู่บนแป้นพิมพ์ด้วย นอกจากนี้ยังมีแป้นพิมพ์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับงานเฉพาะด้าน เพื่อเป็นการอำนวย ความสะดวกและรวดเร็วในการบันทึก ตัวอย่างเช่น แป้นพิมพ์เพื่องานธนาคาร ร้านอาหารจานด่วน (fast food) ตู้ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) เป็นต้น

              2. อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งและวาดรูป (pointing and drawing devices)        เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมการทำงานของตัวชี้ตำแหน่ง (pointer) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ทำงานอยู่บนจอภาพคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งใช้อุปกรณ์ ที่รับข้อมูลเข้าสู่ระบบ โดยอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งและวาดรูปที่นิยมใช้มีดังนี้

                      2.1 เมาส์ (mouse)
                      เมาส์ใช้สำหรับควบคุมตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ โดยปกติแล้ว ตัวชี้ ตำแหน่งนี้จะมีลักษณะเป็นลูกศร อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนสัญลักษณ์ตัวชี้ตำแหน่งนี้ได้

                      การทำงานของเมาส์จะติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยผ่านสายเคเบิ้ล แต่ปัจจุบันจะมีเมาส์ชนิดไร้สาย (wireless) ติดต่อกับคอมพิวเตอร์ โดยใช้แสงอินฟราเรดและคลื่นสัญญาณ และเมาส์บางชนิดจะมีแท่งชี้ควบคุม (trackpoint) อยู่บนตัวเมาส์

                      ลักษณะทั่วไปของเมาส์ ด้านล่างจะมีลูกกลิ้งกลม (ball) ซึ่งใช้สำหรับควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่ โดยการเคลื่อนที่ของเมาส์ถูกแปลงไปเป็น สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ส่งให้คอมพิวเตอร์ และคอมพิวเตอร์จะใช้สัญญาณนี้ควบคุมการเคลื่อนที่ของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ

                      ด้านบนของตัวเมาส์จะมีปุ่มกดหนึ่งปุ่มหรือมากกว่า แต่ที่นิยมใช้ในปัจจุบันจะเป็นแบบ 2 ปุ่ม และเมื่อต้องการใช้เมาส์ควบคุม ตัวชี้เมาส์บนจอภาพก็จะสั่งงานโดยการกดปุ่มบนเมาส์ เช่น การเลือกเมนูคำสั่ง และการย้ายข้อความ

                      เมาส์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานง่าย ใช้เวลาฝึกการใช้งานเมาส์เพียงเล็กน้อยบางคนสามารถควบคุมเมาส์เพียงใช้ปลายนิ้วมือ ส่วนข้อเสียของเมาส์คือ จะต้องใช้พื้นราบว่างในการเคลื่อนที่เมาส์

                      2.2 ลูกกลมควบคุม (trackball)
                      ลูกกลมควบคุมเป็นอุปกรณ์ใช้ชี้ตำแหน่งคล้ายเมาส์ ต่างกันที่ลูกบอลของ trackball จะอยู่ด้านบน แต่ลูกบอลของเมาส์จะอยู่ด้านล่าง เมื่อจะใช้ trackball ผู้ใช้จะหมุนลูกบอลไปในทิศทางที่ต้องการ แต่ถ้าใช้เมาส์ผู้ใช้จะต้องเคลื่อนที่ทั้งตัวเมาส์โดยทั่วไปลูกบอลของ trackball จะมีขนาดใหญ่กว่า ลูกบอลของเมาส์เพื่อความสะดวกในการควบคุมด้วยนิ้วมือและฝ่ามือ trackball ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นราบว่างในการเคลื่อนที่เหมือนเมาส์ และส่วนใหญ่ จะถูกออกแบบให้ใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา

                      2.3 แท่งชี้ควบคุม (trackpoint)
                      แท่งชี้ควบคุมหรือ trackpoint เป็นอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งที่มีขนาดเล็กคล้ายกับแท่งยางลบดินสอ และนิยมใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา เพราะใช้เนื้อที่น้อย ข้อดีของแท่งชี้ควบคุมอีกประการหนึ่งคือไม่ต้องทำความสะอาดบ่อยเหมือนกับเมาส์

                      2.4 แผ่นสัมผัส (touchpad)
                      แผ่นสัมผัส (touchpad) บางครั้งเรียก trachpad เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมระนายที่ใช้การเคลื่อนไหวของนิ้วมือเพื่อควบคุมการเคลื่อนที่ ของตัวชี้ตำแหน่ง แผ่นสัมผัสนิยมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา เช่นเดียวกับ trackball และ trackpoint
                      

       2.5 จอยสติก ( joystick)
                      เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมการเคลื่อนี่ของตัวชี้ตำแหน่งเข่นเดียวกับเมาส์ แต่จอยสติกจะมีปุ่มกดเพิ่มเติมเพื่อสั่งงานเฉพาะอย่าง ขึ้นอยู่กับ ชนิดของโปรแกรมที่ใช้จอยสติกนิยมใช้สำหรับเล่นเกมคอมพิวเตอร์และควบคุมการเคลื่อที่ของหุ่นยนต์


                      2.6 ระบบปากกา ( pen-based system)
                              2.6.1 ปากกาแสง (light pen)
                               เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สัมผัสกับจอภาพ เพื่อใช้ชี้ตำแหน่งและวาดข้อมูล ปากกาแสงนิยมใช้กับงานด้านการออกแบบอุปกรณ์ เช่น ไมโครโปรเซสเซอร์ และชิ้นส่วนของเครื่องบิน

                              2.6.2 เครื่องอ่านพิกัด (digitizing tablet)
                              - digitizer เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงข้อมูล (อ่านพิกัด) ที่เป็นเส้นตรง เส้นโค้ง ภาพวาด หรือภาพถ่ายให้เป็นสัญญาณดิจิตอล จากนั้นก็จะถ่ายทอดสัญญาณนั้นไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถตกแต่งข้อมูลโดยใช้ปากกาเฉพาะที่เรียกว่า stylus วาดไปบน digitizer ได้

                              - graphics tablet ทำงานลักษณะเดียวกับ digitizer ต่างกันที่ graphics tablet จะมีอักขระและคำสั่งพิเศษสำเร็จรูปอยู่บนแผ่น tablet นิยมใช้สำหรับงานออกแบบสถาปัตยกรรม
                      

       2.7 จอภาพสัมผัส (touch screen)
                      จอภาพแบบสัมผัส เป็นจอภาพชนิดพิเศษที่ให้ผู้ใช้งานใช้นิ้วสัมผัสบนจอภาพเพื่อป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบ แทนที่จะใช้การพิมพ์ทางแป้นพิมพ์ หรือสั่งงาน ด้วยการคลิกเมาส์ การใช้งานระบบจอภาพสัมผัส ผู้ใช้จะต้องสัมผัสจอภาพที่อาจเป็นข้อความตัวเลข หรือสัญลักษณ์ตำแหน่ง จากนั้นโปรแกรมจะทำหน้าที่แปลงเป็นสัญญาณเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
                      จอภาพสัมผัสไม่นิยมใช้กับงานที่ต้องป้อนข้อมูลจำนวนมากเข้าสู่ระบบส่วนใหญ่นิยมใช้กับงานเฉพาะอย่างที่ให้ผู้ใช้เลือกจากรายการที่กำหนดไว้ เช่นการให้ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหารจานด่วน สถานีบริการน้ำมัน ตู้เกมตามศูนย์การค้า เป็นต้น

                      2.8 สมุดบันทึกดิจิตอล (digital notebook)
                      เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยแผ่นกระดาษโน้ต หรือกระดาษที่ใช้เขียนงานทั่วไป ซึ่งจะต้องวางอยู่บนแผ่นอิเล็กทรอนิกส์ แล้วใช้งานร่วมกับ ปากกาชนิดพิเศษที่สามารถส่งสัญญาณที่เขียนบนสมุดลงไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ และผู้ใช้สามารถเรียกดูแก้ไข หรือตกแต่งได้ตามต้องการ

              3. อุปกรณ์กวาดข้อมูล (scanning devices)
              เป็นอุปกรณ์เพื่อใช้บันทึกข้อความ ภาพวาด หรือสัญลักษณ์พิเศษอื่น ๆ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยมีหลักการทำงานคือ อุปกรณ์จะทำการแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตอลที่สามารถนำไปประมวลผลและแสดงบนจอภาพได้ อุปกรณ์กวาดข้อมูลที่ใช้กันปัจจุบันมีดังนี้

                      3.1 สแกนเนอร์ (image scanner)
                      สแกนเนอร์เป็นอุปกรณ์ซึ่งสามารถจับภาพหรือ ข้อความทั้งหน้า โดยจะทำการแปลงข้อความหรือภาพจากเอกสารต้นฉบับให้อยู่ในรูปของข้อมูลดิจิตอล ซึ่งสามารถจัดเก็บและประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ได้ ข้อมูลดิจิตอลนี้ยังสามารถพิมพ์ และแสดงผลร่วมกับเอกสารอื่นได้ด้วย สแกนเนอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เช่น สแกนเนอร์แบบตั้งโต๊ะ สแกนเนอร์ขนาดมือถือ สแกนเนอร์ที่อยู่กับแป้นพิมพ์




      3.2 เครื่องอ่านรหัสบาร์โค้ด (bar code reader)
                      บาร์โค้ด ประกอบด้วยเส้นตรงแนวตั้งและช่องว่างที่มีขนาดแตกต่างกัน ปกตินิยมใช้พิมพ์หรือ ติดบนผลิตภัณฑ์ หรือพิมพ์เป็นฉลาก เพื่อติดกับผลิตภัณฑ์ ส่วนเครื่องอ่านรหัสบาร์โค้ดจะใช้รูปแบบของแสงจากเส้นบาร์โค้ดจำแนกประเภทของสิ่งของ ประเภทของบาร์โค้ดมีหลานประเภท ที่แตกต่างกัน

                      เครื่องอ่านรหัสบาร์โค้ดนิยมใช้กับงานขายสินค้าและบริการ เช่น ห้างสรรพสินค้า ซูปเปอร์มาร์เก็ต ห้องสมุด สต๊อกสินค้า เป็นต้น ซึ่งลักษณะของเครื่องอ่านรหัสบาร์โค้ดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะและวัตถุประสงค์ของการใช้งาน

                      3.3 เครื่องอ่านเครื่องหมายด้วยแสง
                      เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับประมวลผลข้อมูลจากแบบสอบถาม หรือกระดาษคำตอบคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะต้องทำเครื่องหมายลงในแบบฟอร์มให้ชัดเจน โดยส่วนมากจะใช้ดินสิน 2B เพื่อให้โปรแกรมคอมพิวเตอร์อ่านข้อมูลได้ ลักษณะงานที่นิยมใช้ เช่น การอ่านกระดาษคำตอบปรนัย เป็นต้น

                      3.4 เครื่องอ่านอักขระด้วยแสง
                      เครื่องอ่านอักขระด้วยแสง เป็นอุปกรณ์ที่สามารถอ่านอักขระจากเอกสารประเภทต่าง ๆ เช่น เอกสารจากลายมือ เอกสารที่พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ การทำงานของ OCR จะอ่านลักษณะรูปร่างของอักขระและนำไปเปรียบเทียบกับรูปร่างของอักขระที่บันทึกไว้แล้วในหน่วยความจำ จากนั้นจะแปลง อักขระนั้น ๆ ให้เป็นรหัสคอมพิวเตอร์

                      3.5 เอ็มไอซีอาร์ ( MICR)
                      อุปกรณ์เอ็มไอซีอาร์ เป็นอุปกรณ์เพื่อรับข้อมูลและประมวลผลข้อความหรือเครื่องหมายที่พิมพ์ด้วยหมึกแม่เหล็ก เช่น เช็ค นิยมใช้ใน งานธนาคารโดยเช็คที่ยังไม่ผ่านการประมวลผลจากธนาคารจะมีหมายเลขเช็ค รหัสธนาคาร และหมายเลขบัญชี ปรากฏอยู่ด้านล่างของตัวเช็ค เมื่อเช็คผ่านการประมวลผลจากธนาคารแล้ว จำนวนเงินของเช็คฉบับนั้นจะถูกพิมพ์ที่มุมล่างด้านขวาของตัวเช็ค ต่อจากนั้นก็สามารถ จะนำเช็คไปอ่านหรือเรียงลำดับด้วยเครื่อง MICR

                       3.6 อุปกรณ์อ่านลายมือเขียน
                      เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ติดกับกระดานไวท์บอร์ดทั่ว ๆ ไป เพื่อจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ เช่น ข้อความ หรือรูปภาพที่อยู่บนกระดานไวท์บอร์ด ที่เขียนด้วยปากกาชนิดพิเศษให้อยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูล เพื่อนำไปใช้กับงานต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างเช่น การจัดเก็บเนื้อหาการสอน แล้วนำไปทำเป็นสื่อการสอนในรูปแบบของ CD-ROM หรือ เว็บเพจ เป็นต้น

              4. อุปกรณ์รับข้อมูลมัลติมีเดีย
                      4.1 อุปกรณ์รับข้อมูลเสียง (sound input devices)
                      โดยปกติเสียงจะถูกบันทึกเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยใช้ไมโครโฟนซึ่งเชื่อมต่อกับการ์ดเสียง (sound card) เสียงที่เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ สามารถที่จะนำมาแก้ไข เปลี่ยนแปลงโดยใช้โปรแกรมจัดการเสียง

                      4.2 อุปกรณ์รับข้อมูลประเภทเสียงพูด (voice input devices)
                      การรับข้อมูลประเภทเสียงเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ บางครั้งจะ หมายถึง การรู้จำเสียง ซึ่งอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลประเภทเสียงนี้ สามารถที่จะให้ผู้ใช้สั่งคอมพิวเตอร์โดยใช้เสียงพูดของผู้ใช้ได้ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อมั่นว่าการสั่งงานคอมพิวเตอร์ด้วยเสียงจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้ยเรื่อย ๆ เนื่องมาจากมนุษย์สามารถพูดได้เร็วกว่าการพิมพ์ นอกจากนี้การพูดถือว่าเป็นพฤติกรรมทางธรรมชาติของมนุษย์มากกว่าการพิมพ์ ซึ่งการพิมพ์นั้นจะต้องใช้เวลาในการฝึกหัด

                      4.3 กล้องดิจิตอล (digital camera)
                      กล้องดิจิตอลมีลักษณะคล้ายกล้องที่ใช้ถ่ายรูปโดยทั่วไป แตกต่างที่กล้องดิจิตอลจะจัดเก็บภาพในรูปแบบของข้อมูลดิจิตอลบนแผ่นดิสก์ หรือในหน่วยความจำแทนที่จะเก็บภาพไว้ในรูปแบบของฟิล์ม
                      
                    

        4.4 อุปกรณ์รับข้อมูลจากวิดีโอ video input
                      ข้อมูลจากวิดีโอจะสามารถบันทึกเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้กล้องวิดีโอดิจิตอล (digital video camera) ซึ่งมีลักษณะการทำงานคล้ายกับ กล้องดิจิตอล แต่กล้องวิดีโอดิจิตอลสามารถบันทึกภาพที่เนื่องกันได้
                      
                      นอกจากกล้องวิดีโอดิจิตอลแล้ว การบันทึกข้อมูลต่อเนื่องหรือภาพเคลื่อนไหวยังสามารถใช้การ์ดวิดีโอที่ใช้ตัดต่อภาพ จากข้อมูลที่จัดทำ ด้วยกล้องวิดีโอแบบปกต ิเพื่อแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปของดิจิตอลให้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ได้




      อุปกรณ์ output

      หน่วยแสดงผล (Output Unit)

      ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์จากคอมพิวเตอร์ โดยมากจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

      1. หน่วยแสดงผลชั่วคราว (Soft Copy)
      หมายถึงการแสดงผลออกมาให้ผู้ใช้ได้รับทราบในขณะนั้นแต่เมื่อเลิกการทำงานหรือเลิกใช้แล้วผลนั้นก็จะหายไปไม่เหลือเป็นวัตถุ
      ให้เก็บได้ถ้าต้องการเก็บผลลัพธ์นั้นก็สามารถส่งถ่ายไปเก็บในรูปของข้อมูลในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง
      เพื่อให้สามารถใช้งานได้ในภายหลัง ได้แก่

      1.1 จอภาพ (Monitor) ใช้แสดงข้อมูลหรือผลลัพธ์ให้ผู้ใช้เห็นได้ทันที มีรูปร่างคล้ายจอภาพของโทรทัศน์ บนจอภาพประกอบด้วย
      จุดจำนวนมาก เรียกจุดเหล่านั้นว่า พิกเซล (Pixel) ถ้ามีพิกเซลจำนวนมากก็จะทำให้ผู้ใช้มองเห็นภาพบนจอได้ชัดเจนมากขึ้น
      จอภาพที่ใช้ในปัจจุบันแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ

      1.1.1 จอซีอาร์ที (Cathode Ray Tube) นิยมใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ส่วนมากในปัจจุบัน ใช้หลักการยิงแสงผ่านหลอดภาพ
      คล้ายกับเครื่องรับโทรทัศน์




      1.1.2 จอแอลซีดี (Liquid Crystal Display)
      นิยมใช้เป็นจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา เป็นจอภาพที่ใช้หลักการเรืองแสง
      เมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในผลึกเหลว ทำให้จอภาพมีความหนาไม่มาก น้ำหนักเบาและกินไฟน้อยกว่าจอภาพซีอาร์ที
      แต่มีราคาสูงกว่า เทคโนโลยีจอแอลซีดีในปัจจุบันจะมีสองแบบคือ Passive Matrix ซึ่งมีราคาต่ำแต่จะขาดความคมชัดและ
      อาจมองไม่เห็นภาพเมื่อผู้ใช้มองจากบางมุม และ Active Matrix หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Thin File Transistor (TFT)
      จะให้ภาพที่คมชัดกว่าแต่จะมีราคาสูงกว่า ในปัจจุบันจอภาพแบบ TFT เริ่มนิยมนำมาใช้แทนจอภาพ CRT มากขึ้นเรื่อย ๆ
      เนื่องจากราคาเริ่มต่ำลง ในขณะที่มีข้อดีคือใช้เนื้อที่ในการวางน้อย น้ำหนักเบา กินไฟต่ำ และมีการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า
      ออกมาน้อยมาก

      1.2 อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector)


      เป็น อุปกรณ์ที่นิยมใช้ในการเรียนการสอนหรือการประชุม เนื่องจากสามารถนำเสนอข้อมูลให้แก่ผู้ชมจำนวนมากเห็นพร้อม ๆ กัน
      อุปกรณ์ฉายภาพในปัจจุบันจะมีอยู่หลายแบบ ทั้งที่สามารถต่อสัญญาณจากคอมพิวเตอร์โดยตรง หรือใช้อุปกรณ์พิเศษในการวาง
      ลงบนเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ (OverHead Projector) ธรรมดา เหมือนกับอุปกรณ์นั้นเป็นแผ่นใส อุปกรณ์ฉายภาพจะ
      มีข้อแตกต่างกันมากในเรื่องของกำลังแสงสว่าง เนื่องจากยิ่งมีกำลังส่องสว่างสูงภาพที่ได้ก็จะชัดเจนมากขึ้น กำลังส่องสว่างมี
      หน่วยวัดค่าอยู่ 3 แบบ คือ LUX, LUMEN และ ANSI LUMEN โดยการวัดแบบ LUX จะวัดค่าความสว่างที่
      จุดกึ่งกลางของภาพ จึงได้ค่าความสว่างสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอีก 2 แบบ การวัดแบบ LUMEN จะแบ่งภาพออกเป็น 3 ส่วน
      คือ บน กลางและล่าง และแต่ละส่วนจะถูกแบ่งออกเป็น 3 จุด คือ ริมซ้าย กลาง และริมขวา รวมจุดภาพทั้งหมด 9 จุด
      แล้วจึงใช้ค่าเฉลี่ยของความสว่างทั้ง 9 จุด คิดออกมาเป็นค่า LUMEN ส่วนการวัดแบบ ANSI LUMEN จะมีมาตรฐาน
      สูงสุด โดยใช้วิธีเดียวกับ LUMEN แต่จะกำหนดขนาดจอภาพไว้คงที่คือ 40 นิ้ว (หากไม่กำหนดการวัดค่าความสว่าง
      จะสูงขึ้นเมื่อจอภาพมีขนาดเล็กลง)




      1.3 อุปกรณ์เสียง (Audio Output)



      หน่วย แสดงเสียง ซึ่งประกอบขึ้นจาก

      ลำโพง (Speaker) และการ์ดเสียง (Sound card)



          เพื่อให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลงในขณะทำงาน หรือให้เครื่องคอมพิวเตอร์รายงานเป็นเสียงให้ทราบเมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น
      ไม่มีกระดาษในเครื่องพิมพ์ เป็นต้น
      รวมทั้งสามารถเล่นเกมส์ที่มีเสียงประกอบได้อย่างสนุกสนาน โดยลำโพงจะมีหน้าที่ในการแปลง
      สัญญาณจากคอมพิวเตอร์ให้เป็นเสียง เช่นเดียว กับลำโพงวิทยุ ส่วน การ์ดเสียงจะเป็นแผงวงจรเพิ่มเติมที่นำมาเสียบกับช่องเสียบ
      ขยายในเมนบอร์ด เพื่อช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถส่งสัญญาณเสียงผ่านลำโพง รวมทั้งสามารถต่อไมโครโฟนเข้ามาที่การ์ด
      เพื่อบันทึกเสียงเก็บไว้ด้วย

      เทคโนโลยีด้านเสียง สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ Waveform audio หรือเรียกว่า Digital audio และ
      MIDI (Musical Instrument Digital Interface)



      2. หน่วยแสดงผลถาวร (Hard Copy)

      หมายถึงการแสดงผลที่สามารถจับต้อง และเคลื่อนย้ายได้ตามต้องการ มักจะออกมาในรูปของกระดาษ ซึ่งผู้ใช้สามารถนำไปใช้
      ในที่ต่าง ๆ หรือให้ผู้ร่วมงานดูในที่ใด ๆ ก็ได้ อุปกรณ์ที่ใช้เช่น

      2.1 เครื่องพิมพ์ (Printer)
      เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้กันมาก และมีให้เลือกหลากหลายชนิดขึ้นกับคุณภาพและความละเอียดของการพิมพ์ ความเร็วในการพิมพ์
      ขนาดกระดาษสูงสุดที่สามารถพิมพ์ได้ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการพิมพ์

      เครื่องพิมพ์สามารถแบ่งตามวิธีการพิมพ์ได้เป็นสองชนิด คือ

      2.1.1 เครื่องพิมพ์ชนิดตอก (Impact printer)
      ใช้การตอกให้คาร์บอนบนผ้าหมึกติดบนกระดาษตามรูปแบบที่ต้องการ
      สามารถพิมพ์สำเนา (Copy) ครั้งละหลายชุดโดยใช้กระดาษคาร์บอนวางระหว่างกระดาษแต่ละแผ่น ความเร็วในการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์
      ประเภทนี้จะมีหน่วยเป็นบรรทัดต่อวินาที (lpm-line per minute) ข้อเสียของเครื่องพิมพ์ชนิดนี้ก็คือ มีเสียงดังและคุณภาพ
      งานพิมพ์ที่ได้จะไม่ดีนัก สามารถแบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย คือ

      2.1.1.1 เครื่องพิมพ์อักษร (Character printer)
      หมายถึงเครื่องพิมพ์ดีดที่พิมพ์ครั้งละหนึ่งตัวอักษรเท่านั้น
      ตัวอักษรแต่ละตัวจะถูกสร้างขึ้นจากจุดเล็ก ๆ จำนวนมาก จึงสามารถเรียกอีกอย่างว่า เครื่องพิมพ์แบบจุด (Dot matrix printer)
      นิยมใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์


      2.1.1.2 เครื่องพิมพ์บรรทัด (Line printer) หมายถึงเครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ครั้งละหนึ่งบรรทัด เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้งานได้รวดเร็ว
      แต่จะมีราคาสูง นิยมใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ หรือเครื่องพิมพ์ที่มีผู้ใช้หลายคน


      2.1.2 เครื่องพิมพ์ชนิดไม่ตอก (Non impact printer) ใช้เทคนิคการพิมพ์จากวิธีการทางเคมี ซึ่งทำให้พิมพ์ได้เร็วและคมชัดกว่าชนิดตอก
      พิมพ์ได้ทั้งตัวอักษรและกราฟฟิก รวมทั้งไม่มีเสียงขณะพิมพ์ แต่มีข้อจำกัดคือไม่สามารถพิมพ์กระดาษสำเนา (Copy)
      ได้ ความเร็วในการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้จะมีหน่วยเป็นหน้าต่อนาที (PPM-page per minute) และสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ คือ


      2.1.2.1 เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer)
      ทำงานคล้ายเครื่องถ่ายเอกสาร คือใช้แสงเลเซอร์สร้างประจุไฟฟ้า
      ซึ่งจะมีผลให้โทนเนอร์ (Toner) สร้างภาพที่ต้องการและพิมพ์ภาพนั้นลงบนกระดาษ เครื่องพิมพ์เลเซอร์แต่ละรุ่น
      จะแตกต่างกันในด้านความเร็วและความละเอียดของ งานพิมพ์ โดยปัจจุบันสามารถพิมพ์ละเอียดสูงสุดถึง 1200
      จุดต่อนิ้ว (dot per inch หรือ dpi)

      2.1.2.2 เครื่องพิมพ์ฉีดหมึก (Inkjet Printer) ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กับ
      เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เนื่องจากสามารถพิมพ์สีได้ ถึงแม้จะไม่คมชัดเท่าเครื่องพิมพ์ชนิดเลเซอร์
      แต่ก็คมชัดกว่าเครื่องพิมพ์ตอก สามารถพิมพ์รูปได้คุณภาพใกล้เคียงกับภาพถ่าย และมีราคาถูกกว่าเครื่องพิมพ์ชนิดเลเซอร์
      เครื่องพิมพ์แบบฉีดหมึกในปัจจุบันจะมีคุณภาพในการพิมพ์ต่างกันไปตาม เทคโนโลยีการฉีดหมึกและจำนวนสีที่ใช้
      โดยรุ่นที่มีราคาต่ำมักใช้หมึกพิมพ์สามสี คือ น้ำเงิน ( cyan) , ม่วงแดง (magenta) และเหลือง (yellow)
      ซึ่งสามารถผสมสีออกมาเป็นสีต่าง ๆ ได้ แต่จะให้คุณภาพของสีดำที่ไม่ดีนัก จึงมีเครื่องพิมพ์ที่ให้คุณภาพสูงกว่า
      ที่เพิ่มสีที่ 4 เข้าไปคือ สีดำ (black) เครื่องพิมพ์ฉีดหมึกในปัจจุบันโดย มากจะใช้สีนี้เป็นหลัก
      แต่จะมีเครื่องพิมพ์อีกระดับที่เรียกว่าเครื่องพิมพ์สำหรับภาพถ่าย (Photo printer) ที่จะเพิ่มสีน้ำเงินอ่อน (light cyan)
      และม่วงแดงอ่อน (light magenta) เป็น 6 สีเพื่อเพิ่มความละเอียดในการไล่เฉดสีภาพถ่ายให้เหมือนจริงยิ่งขึ้น
      และบางรุ่นก็จะมีการเพิ่มสีที่ 7 คือสีดำจางเพื่อช่วยในการพิมพ์เฉดสีเทาเข้าไปอีก

      2.1.2.3 เครื่องพิมพ์เทอร์มอล (Thermal printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ให้คุณภาพในการพิมพ์สูงสุดจะมี 2 ประเภท
      คือ Thermal wax transfer ให้คุณภาพและราคาที่ต่ำกว่า ทำงานโดยการกลิ้งริบบอนที่เคลือบแวกซ์ไปบนกระดาษ
      แล้วเพิ่มความร้อนให้กับริบบอนจนแวกซ์นั้นละลายและเกาะติดอยู่บนกระดาษ ส่วน Thermal dye transfer
      ใช้หลักการเดียวกับ thermal wax แต่ใช้สีย้อมแทน wax จะเป็นเครื่องพิมพ์ที่ให้คุณภาพสูงสุด
      โดยสามารถพิมพ์ภาพสีได้ใกล้เคียงกับภาพถ่าย แต่ราคาเครื่องและค่าใช้จ่ายในการพิมพ์จะสูงมาก



      2.2 เครื่องพลอตเตอร์ (Plotter)



      ใช้ วาดหรือเขียนภาพสำหรับงานที่ต้องการความละเอียดสูง ๆ เนื่องจากพลอตเตอร์จะใช้ปากกาในการวาดเส้นสายต่าง ๆ
      ทำให้ได้เส้นที่ต่อเนื่องกันตลอด ในขณะที่เครื่องพิมพ์ทั่วไปจะใช้วิธีพิมพ์จุดเล็ก ๆ ประกอบขึ้นเป็นเส้น ทำให้ได้เส้นที่
      ไม่ต่อเนื่องกันสนิท พลอตเตอร์นิยมใช้กับงานออกแบบทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมที่ต้องการความสวยงามและความละเอียดสูง
      มีให้เลือกหลากหลายชนิดโดยจะแตกต่างกันในด้านความเร็ว ขนาดกระดาษ และจำนวนปากกาที่ใช้เขียน
      ในแต่ละครั้ง มีราคาแพงกว่าเครื่องพิมพ์ธรรมดามาก

      สถานที่ท่องเที่ยวที่ประทับใจ

      งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554


      สถานที่ : ศูนย์วิจัยเกษตรหลวง ต.แม่เหียะ จ. เชียงใหม่






      งานพืชสวนโลก
      งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 พฤศจิกายน 2554 - 15 กุมภาพันธ์ 2555 ณ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวง ต.แม่เหียะ จ.เชียงใหม่ บนพื้นที่ 470 ไร่ เป็นงานที่รวบรวมสุดยอดความมหัศจรรย์แห่งพรรณไม้ ในพื้นที่เขตร้อนชื้นที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีความหลากหลายมากที่สุดของพรรณไม้กว่า 2,200 ชนิด กว่า 2.5 ล้านต้น
      งานพืชสวนโลก ยังเป็นการประกาศศักยภาพการผลิตพืชผลทางการเกษตรของไทยด้าน พรรณไม้ดอกไม้ประดับ ไม้สมุนไพร พืชสวนครัว ไม้แปลกหายาก และ พืชผลทางการเกษตร สู่เวทีตลาดการค้าโลก ซึ่งงานครั้งนี้จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ
      พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
      และฉลองพระชนมายุ 80 พรรษา เพื่อแสดงศักยภาพในการเพาะปลูกพันธุ์ไม้เขตร้อน และเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านการเกษตรของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีก้านพรรณไม้เขตร้อนทั่วโลก และเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว กระตุ้นภาคเศรษฐกิจ สังคม และพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านการเกษตร ภายใต้ Theme ของงาน
      “เพื่อนำความรักสู่มนุษยชาติ” (To Express the Love for Humanity)

      การจัดงานสำคัญครั้งประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ได้รับการรับรองในการจัดงานในระดับ A1 อย่างเป็นทางการจากสำนักงานมหกรรมโลก ( Bureau of International Exposition – BIE ) สมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ ( Association of Horticulture Producers – AIPH )
      และภายใต้การสนับสนุนจาก สมาพันธ์ดอกไม้โลก ( World Flower Council – WFS ) และสมาคมพืชสวนนานาชาติ ( International Society for Horticultural Science – ISHS ) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพในการจัดงานของประเทศไทยทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะความพร้อมนด้านขนาดพื้นที่ ระยะเวลาการจัดงาน สาระนำเสนอในระดับสากล และความหลากหลายของพืชพรรณไม้ที่นำมาจัดแสดง


      1.หอคำหลวง (Royal Pavillion)หอคำหลวง” เป็นส่วนแสดงสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในงาน เป็นพื้นที่จัดแสดงส่วนกลางที่โดดเด่นและสง่างามที่สุด เพื่อจัดแสดงพระอัจฉริยภาพด้านการเกษตร ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเป็นกษัตริย์นักการเกษตรเอกของโลก เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ที่ทรงอัจฉริยภาพและ ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานที่สุดในโลก ภายใต้แนวคิดว่า
      “พระบาทสมเด็พระเจ้าอยู่หัว คือ ศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทย”
      นั่นคือที่มาของอภิมหาสถาปัตยกรรมล้านนา “หอคำหลวง” โดย หม่อมเจ้าภีศเดช  รัชนี เป็นประธานคณะอนุกรรมการโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ “หอคำหลวง”
       
      หอคำหลวง สถาปัตยกรรมล้านนาที่สง่างาม เป็นอาคารครึ่งไม้ครึ่งตึก 2 ชั้น สีน้ำตาลแดง ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าบนเนินดิน
      พื้นที่ประมาณ 3,000 ตารางเมตร ท่ามกลางเนื้อที่กว่า 470 ไร่ ของศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ ตำบลแม่เหียะ
      อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สองข้างทางเดินสู่หอคำหลวงเต็มไปด้วยสีเหลืองอร่ามของดอกราชพฤกษ์ ส่งให้หอคำหลวง เป็นพื้นที่จัดแสดงส่วนกลางที่โดดเด่นและสง่างามที่สุด อีกทั้งตระการตากับพระบรมฉายาลักษณ์ของ
      พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ประดับตกแต่งในบริเวณเสาซุ้ม ซึ่งออกแบบได้สวยงามตามอย่างสถาปัตยกรรมล้านนาแท้ ๆ
      จำนวนมากถึง 30 ซุ้ม
      หอคำหลวง ที่งดงามตระการตานี้ ผ่านกระบวนการคิด การออกแบบ จากช่างสิบหมู่พื้นบ้านล้านนานับสิบคน
      ถ่ายทอดผลงานอภิมหาสถาปัตยกรรมล้านนา ให้งามสง่าท่ามกลางงาน มหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549
      และหนึ่งในทีมงานสร้างครั้งนี้มี คุณรุ่ง จันตาบุญ หรือ ช่างรุ่ง สล่าล้านนา ผู้ชำนาญการด้านสถาปัตยกรรมไทยพื้นถิ่นล้านนา เป็นหัวเรือใหญ่ของทีมงานสร้างครั้งนี้

      ช่างรุ่ง ผู้ออกแบบ หอคำหลวง เล่าให้ฟังถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบสร้าง
      อาคารที่เป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมล้านนาในครั้งนี้ว่า
      “เมื่อครั้งที่ได้รับมอบหมายให้คิดและออกแบบก่อสร้างอาคารสำหรับแสดงนิทรรศการ 
      พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
      ทรงครองสิริราชสมบัติมายาวนานถึง 60 ปี และเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ทำให้นึกถึง หอคำหลวง ซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าเมืองเชียงใหม่ และพระราชวงศ์ เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ในอดีต
      จึงคิดที่จะสร้าง หอคำหลวง ขึ้นมาใหม่อีกครั้งเพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางจิตใจของประชาชนชาวไทย และทรงเป็นสถาบันสูงสุดที่คนไทยเคารพรักเทิดทูน ด้วยศิลปะวัฒนธรรมแบบล้านนาว่ามีความงดงามและอ่อนช้อย”

      ระยะเวลาจากวันนั้นมาถึงวันนี้ผ่านไปเกือบสองปี อาคารหอคำหลวงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
      จากจินตนาการกลายมาเป็นแบบแปลน เรื่อยมาจนเป็นอาคารครึ่งไม้ครึ่งตึก 2 ชั้น ตั้งอยู่บนเนินดิน
      พื้นที่ประมาณ 3,000 ตารางเมตร ลักษณะตัวอาคารชั้นล่างจะใช้การก่ออิฐถือปูนเป็นฐาน
      ส่วนพื้นที่ชั้นบนจะใช้ไม้แดงและไม้สักเป็นองค์ประกอบหลัก
      สำหรับจุดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมล้านนาหลังนี้คือ ได้แก่

      วิหารซด (หลังคา) ซึ่งจะซ้อนเกยกันตามลักษณะของการก่อสร้าง หอคำหลวง เช่นในอดีต
      นอกจากนี้ วิหารซด ยังเป็นสิ่งปลูกสร้างที่บ่งบอกถึงความเป็นที่ประทับของกษัตริย์ผู้ปกครองเมือง
      ชาวบ้านทั่วไปไม่สามารถปลูกสร้างเรือนเช่นนี้ได้ คือ มีหน้า 3 หลัง 2 โดยที่โครงสร้างของวิหาร
      จะไม่ใช้ตะปูในการยึดติด แต่จะใช้ลิ่มสลักให้ไม้เชื่อมติดกันโดยที่ไม่หลุด เรียกว่าขึ้น ม้าต่างไหม




      การขึ้น ม้าต่างไหม นั้น โดยช่างจะนำท่อนไม้มาเรียงซ้อนต่อตัวกันสามระดับ (รูปทรงคล้ายปิรามิด)
      และจัดวางให้สมดุลกัน โดยมีการลดหลั่นของหลังคาจากห้องประธานลงมาทางด้านหน้าและด้านหลัง
      เป็นชั้นเชิงที่สวยงาม มีเสาไม้ขนาดใหญ่เป็นขารองรับน้ำหนัก ซึ่งเสาไม้นี้ก็มีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า เสาหลวง  เสาหลวง นั้นมีลักษณะทรงกลม ทาพื้นสีดำ และเขียนลวดลายรดน้ำปิดทองตลอดทั้งต้น

      หมายเหตุ : ที่มาของชื่อนี้ “ม้าต่างไหม” มาจากลักษณะการบรรทุกผ้าไหมบนหลังม้าไปขาย
      ของพ่อค้าม้าในล้านนา (ต่าง แปลว่า บรรทุก) ส่วนที่เป็นหลังคาก็ใช้ ดินขอ (กระเบื้องดินเผา) มามุง ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถรื้อถอนนำไปประกอบใหม่ได้

      นอกจากโครงสร้างของตัววิหารแล้ว สิ่งที่น่าชมอีกอย่างคือ สิ่งละอันพันละน้อยที่ประดับอยู่ตามตัววิหาร ได้แก่
      ช่อฟ้า ซึ่งอยู่เหนือจั่วของวิหารจะมีรูปแกะสลักนกการเวกประดับอยู่ 
      นกการเวกเป็นสัตว์ในวรรณคดีมีปากเป็นจะงอยสวยงามมาก
      นาคทัณฑ์ หรือ คันทวย ซึ่งเป็นไม้ค้ำยัน ช่างแกะสลักเป็นรูปนกหัสดีลิงค์
      สวยงามและอ่อนช้อยมาก ผู้รักในงานศิลปะต้องไปชมด้วยตาตนเอง

      หน้าบัน และ เสาซุ้มประตูทางเข้า เป็นส่วนที่งดงามโดดเด่นที่สุด

       ซึ่งเป็นผลงาน
      ของช่างสิบหมู่พื้นบ้าน จากอำเภอต่าง ๆ ในเขตพื้นที่ภาคเหนือกว่า 60 คน
      ถือเป็นการรวมตัวกันครั้งยิ่งใหญ่ของศิลปินสกุลช่างชาวล้านนา ได้แก่
      เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน

      ทุกคนต่างวาดลวดลายการแกะสลักและปิดทองกันอย่างสุดฝีมือ ยิ่งเมื่อพิจารณา
      ชิ้นงานอย่างละเอียด จะพบความงามบนความเหมือนที่แตกต่าง นั่นคือ ในกรอบงานที่เหมือนกัน แต่ลวดลายภายในกรอบนั้นต่างช่างก็ต่างลาย ดูไกล ๆ อาจเหมือนกัน แต่เมื่อพิศดูใกล้ ๆ จะไม่เหมือนกัน เป็นการแสดงออกถึงจินตนาการและความคิดของช่างสิบหมู่ล้านนาแต่ละสกุลนั่นเอง

      แม้ว่าลายละเอียดที่ปรากฏในผลงานจะบ่งบอกว่าเกิดจากช่างฝีมือคนละสกุลกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากพิจารณาในภาพรวมของผลงานที่ปรากฏต่อสายตา ผลงานทุกชิ้นก็ยังอยู่
      ในองค์รวมที่เป็นแบบฉบับล้านนาเดียวกัน

      สำหรับบริเวณหน้าบัน (หน้าแหนบ) ของหอคำหลวงนั้นจะมีการตกแต่งที่สวยงามเป็นพิเศษ
      ซึ่งในส่วนนี้จะแตกต่างจาก เรือนไทยภาคกลางคือ บริเวณที่ต่ำลงมาจากหน้าบัน จะเป็นแผงเรียกว่า
      คอกีด ซึ่งช่างได้แกะสลักลวดลายต่าง ๆ อย่างสวยงามประดับประดาไว้ มีทั้งลวดลายดอกไม้
      ลายประจำยาม รูปสัตว์ต่าง ๆ สุดแท้แต่จินตนาการของช่างสกุลล้านนา

      โก่งคิ้ว คือส่วนที่ต่ำจากคอกีดลงมา เรียกว่ามีลักษณะคล้ายกับสาหร่ายรวงผึ้งของภาคกลาง
      ส่วนด้านข้างที่เป็นปีกนก ก็มีการแกะสลักลวดลายไว้อย่างสวยงามเช่นเดียวกับบริเวณหน้าบัน

      ที่กล่าวมาในตอนต้นเป็นเพียงความงามของตัวอาคารหอคำหลวงเท่านั้น ถ้าใครมีโอกาสมาเห็นด้วยตาตนเองจะสังเกตเห็นว่าบริเวณโดยรอบอาคารหอคำหลวงนั้น
      ยังมีความงดงามตระการตารอให้ชมอยู่อีกมากมาย ผลงานแต่ละชิ้นตั้งเรียงรายอยู่
      โดยรอบอาคารหอคำหลวง อันได้แก่
      ปราสาทเฟื่องโคมไฟ ผลงานปูนปั้นที่ต้องการสื่อถึงความสว่างไสวโชติช่วง
      พุ่มหม้อดอก
      ที่สื่อถึงความจงรักภักดี หรือแม้แต่รูปปั้นยักษ์ หรือ ช้างที่ยืนเฝ้าหอคำหลวง
      ก็ยังมีหลากหลายอริยาบท

      สถาปนิกชาวล้านนาจากอำเภอจอมทองท่านนี้ เล่าเพิ่มเติมให้ฟังว่า หอคำหลวง
      จะต้องเป็นอาคารที่ร่วมสมัย ด้วยรูปทรงและลักษณะการปลูกสร้างจะเป็นแบบล้านนาดั้งเดิม

      ส่วนภายในอาคารแบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็นสองส่วนคือ
      ชั้นบน จะจัดให้เป็นหอเฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายในจัดให้มีการแสดงจิตรกรรมฝาผนังแบบล้านนาบอกเล่าเรื่องราวของพระองค์ท่าน อันเป็นพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาด้านต่าง ๆ 

      ตรงกลางห้องโถง กำหนดให้มีการสร้างต้นโพธิ์ทอง หรือ ต้นบรมโพธิสมภาร ประกอบด้วย
      ใบทั้งหมด 21,915 ใบ เป็นต้นไม้แห่งทศพิธราชธรรมที่ใบมีการดูนอักษรนูนต่ำที่มี
      คำที่เป็นธรรม 10 ประการ  เป็นภาษาบาลี อันหมายถึง ทศพิธราชธรรม อันเป็นธรรมะที่พระองค์ท่านยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้เหล่าพสกนิกรอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขภายใต้ร่มพระบารมีตราบเท่าปัจจุบัน
       
      ชั้นล่าง เป็นส่วนจัดแสดงนิทรรศการภาพพระบรมฉายาลักษณ์ในเหตุการณ์  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
      วันที่ 5 พฤษภาคม พุทธศักราช 2493 และ ปฐมบรมราชโองการว่า
      “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
      และโครงการพระราชดำริเต็มรูปแบบสามมิติทั้ง แสง สี และ เสียง อลังการ แบ่งเป็น 9 โซน  ได้แก่

              โซน 1. บทนำ “ ธ ทรงมุ่งหวังที่จะเห็นความฟาสุขของประชาชนชาวสยาม” เป็นการแสดงภาพ การเสด็จเยี่ยมราษฎรในท้องที่ต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่เป็นภาพแห่งความทรงจำที่ประทับใจ เป็นต้น

              โซน 2. “จากจิตรลดาสู่พสกนิกร” นำเสนอพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในส่วนของโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ได้แก่ ป่าไม้สาธิต นาข้าวทดลอง ปลานิลปลาหมอเทศ โรงโคนม ไบโอดีเซล สาหร่ายเกลียวทอง ผลิตภัณฑ์จากหนังปลานิล เป็นต้น

              โซน 3. “น้ำพระทัยอาทรชาวสยาม” นำเสนอเรื่อง น้ำ การจัดหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร โครงกาฝายชะลอความชุ่มชื้น และพระราชดำริให้จัดทำฝนหลวง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภาวะแห้งแล้ง โครงการกังหันชัยพัฒนาสำหรับเรื่องของขจัดน้ำเสีย การแก้ปัญหาการเกิดน้ำท่วมภายใต้โครงการแก้มลิง เพื่อแก้ปัญหาการระบายน้ำ ซึ่งสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับราษฎรได้เป็นอย่างมาก

              โซน 4. “พืชผลงามด้วยดินดี” พระราชดำริเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรดินโดยไม่ลอกหน้าดิน และยังทรงสร้ารูปแบบระบบอนุรักษ์ดินในพื้นที่พรุ โดยใช้วิธีการแกล้งดิน และปัญหาการชะล้างพังทลายของหน้าดิน พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้นำหญ้าแฝกมาใช้ในการอนุรักษ์ดินและน้ำ เปรียบเสมือนกำแพงที่มีชีวิตในการอนุรักษ์ และคืนธรรมชาติสู่แผ่นดิน รวมทั้งปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นด้วย

              โซน 5. “ปลูกป่าไม้เพื่อชีวีสำนึกดีในใจคน” พระราชทานพระราชดำริหลายประการ คือ ปลูกป่า 3 อย่าง แต่ประโยชน์ 4 อย่าง ปลูกป่าเปียก การปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก การปลูกป่าในที่สูง และการปลูกป่าในใจ รวามถึงโครงการฝายชะลอความชุ่มชื้น ที่เอื้อผลประโยชน์ที่ดีต่อกัน ของธรรมชาติกับธรรมชาติอีกด้วย

              โซน 6. “ขจัดต้นสิ่งเสพติด เพื่อชีวิตราษฎร” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของราษฎร โดยมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขา ทรงพระกรุณาให้จัดตั้งศูนย์พัฒนาโครงการหลวง เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และช่วยขจัดปัญหายาเสพติด โดยปลูกพืชที่เป็นประโยชน์ทดแทนฝิ่น ให้ความรู้เรื่องถางป่าและปลูกโดยไม่ถูกต้อง รวมทั้งการรักษาป่า รักษาดินให้เป็นประโยชน์ต่อไปและยั่งยืน และเรื่องราวเกี่ยวกับ สวนสองแสน สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป

              โซน 7. “เพิ่มศักยภาพเกษตรกรด้วยการศึกษา” แนวพระราชดำริให้ตั้งศูนย์การศึกษาการพัฒนาอันเรื่องมาจากพระราชดำริ ขึ้นตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวม 6 แห่ง โดยทำหน้าที่เสมือน “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต” เพื่อทำการทดลองวิจัย แสวงหาวิธีการแก้ปัญหาและแนวทางการพัฒนา เช่น ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้น

              โซน 8. “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และทฤษฎีใหม่ นำมาสู่ผลผลิตแห่งความสำเร็จ ในส่วนนี้ เปรียบเสมือนบทสรุปของโครงการทั้งหมดที่กล่าวไว้ในส่วนจัดแสดง ซึ่งนำเสนอบทสรุปของเนื้อหาทั้งหมดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยพสกนิกรและทรงงานมาโดยตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์สมบัติ เป็นเวลา 60 ปี และการเดินตามรอยพระราชดำรัสปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงตรัสไว้สำหรับประชาชนทุกคน เพื่อประโยชน์สุข และชีวิตที่พอเพียงสำหรับประชาชนทุกกลุ่มชั้น

              โซน 9. นิทรรศการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จัดทำให้ออกมาในรูปวีดิทัศน์ บทสัมภาษณ์ของประชาชนทุกกลุ่มชนชั้นที่นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน จนนำพาซึ่งความสำเร็งในชีวิตที่ดีขึ้น

      ช่างรุ่ง สถาปนิกผู้ออกแบบผลงานชิ้นเอกนี้กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “หอคำหลวง”
      จะเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทย ให้ได้ซาบซึ้งถึงพระอัจฉริยภาพ ความอุตสาหะ และน้ำพระทัยของในหลวง ในฐานะที่ทรงเป็นกษัตริย์นักการเกษตรที่ยิ่งใหญ่ของโลก นอกจากนี้ หอคำหลวงจะเป็นอาคารมรดกของคนไทยทั้งชาติ ไว้สำหรับเรียนรู้และสืบสานงานศิลปะสกุลช่างล้านนาต่อไปในอนาคต

      และท้ายที่สุด หอคำหลวง จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว
      ทั้งชาวไทยและต่างประเทศทั่วโลก ให้เดินทางมาชมความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งใหม่บนผืนแผ่นดินไทย

      ผู้ควบคุมการออกแบบ


              นายรุ่ง จันตาบุญ สถาปนิกจากบริษัทช่างรุ่งคอนสตรัคชั่น จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคล วิทยาเขตภาคพายัพ มีผลงานการปลูกสร้างอาคารสถาปัตยกรรมล้านนามานานนับสิบปี ผลงานกล่าวขานในวงการช่างสกุลล้านนามากมาย อาทิ
      - วิหารหลวงวัดป่าดาราภิรมย์พระอารามหลวงวรวิหาร
      - วัดป่าดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
      - หออินทขิลเสาหลักเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
      - วิหารพระเจ้า 700 ปี ศรีเมืองเชียงใหม่
      - วัดเจ็ดยอด มหาโพธารามวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่
      - งานบูรณะพระตำหนักเจ้าดารารัศมี อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
      - มณฑปไฟพระฤกษ์ซีเกมส์ จังหวัดเชียงใหม่
      - หอแกวไร่แม่ฟ้าหลวง และหอทุ่งแกว๋นไร่แม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
      - พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
      ที่กล่างมาทั้งหมดต่างเป็น สถานที่หรือโบราณสถานที่สำคัญในภาคเหนือทั้งสิ้น
      ผู้ออกแบบจิตกรรมฝาผนังอาจารย์ปรีชา เถาทอง ที่ปรึกษาโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ และศิลปินชั้นเยี่ยมสาขาจิตรกรรมปี พ.ศ. 2522

      2. สวนเฉลิมพระเกียรติ

      สวนเฉลิมพระเกียรติ
      แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่

              • นิทรรศการสวนนานาชาติ
      ซึ่งเป็นพื้นที่การจัดแสดงสวนของประเทศต่างๆ ในนามของประมุข รัฐบาล และประชาชน
      ของประเทศนั้นๆ การจัดสวนของแต่ละประเทศ แสดงถึงความงดงาม ทางวัฒนธรรม
      และความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ โดยขณะนี้มีประเทศที่ตอบรับเข้าร่วมงาน อย่างเป็นทางการ คือ

      - สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
      - สาธารณรัฐซูดาน
      - ราชอาณาจักรโมร็อคโค
      - สาธารณรัฐอิสลามมอริทาเนีย
      - สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
      - ราชอาณาจักรสเปน
      - สาธารณรัฐตุรกี
      - เนเธอร์แลนด์
      - รัฐกาตาร์
      - ญีปุ่น
      - มาเลเซีย
      - สาธารณรัฐเวียตนาม
      - สาธารณรัฐประชาชนจีน
      - สาธารณรัฐเคนยา
      - ราชอาณาจักภูฏาน
      - ราชอาณาจักรกัมพูชา
      - จังหวัดเกียวโต โอซากา และเฮียวโกะ
      - จังหวัดไอจิ
      - บรูไนดารุสซาลาม
      - สาธารณรัฐเคนยา
      - สาธารณรัฐไนจีเรีย








      แบบจำลองนิทรรศการสวนนานาชาติ ของประเทศต่าง ๆ 

                    

             
            กาตาร์                                        สเปน                                         อินโดนีเซีย
                      
                      ญี่ปุ่น                                       เนเธอร์แลน  ซูดาน                                 
       






               ภูฎาน 


      สวนเฉลิมพระเกียรติฯ ประเภทองค์กร  ได้แก่ สวนเฉลิมพระเกียรติฯ จากองค์กรต่างๆในประเทศ ทั้งภาครัฐ และเอกชน  เป็นการนำทฤษฎี
      การเกษตรของในหลวง มาเป็นแนวคิดการจัดสวน อาทิ ทฤษฎีหญ้าแฝกรักษาการยึดตัวของดิน
      และทฤษฎีการเกษตรแบบพอเพียง เป็นต้น เพื่อให้สวนที่จัดขึ้นเป็นแหล่งความรู้ให้กับเกษตรกร
      และประชาชนชาวไทย ได้น้อมนำทฤษฎีในหลวงไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
      - สวนสวยด้วยพระบารมี…กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว
      - สวนภูมิพลมหาราชาเฉลิมราชย์ 60 ปี
      - เมืองแม้นพิมานมาศ…ราชบุรี
      - สวนวัฒนธรรมภูมิปัญญา เมืองล้ำค่าอยุธยามรดกโลก
      - สวน ดิน น้ำ ป่า คน สร้างพลังความยั่งยืน
      - สวนโครงการเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดำริ
      - สวนนาวาน้อมธรรม นำความพอเพียง เีรียงร้อยรอยภูมินทร์
      - สายธารพระเมตตา สู่การประปานครหลวงไทย
      - สวนน้ำพระทัย
      - สวนภูมิสังคม
      - สวนสุวรรณล้านนา ภูมิปัญญาทางสังคม แนวคิดทฤษฎีพอเพียง
      - สวนอธรรมปราบอธรรม เชิดชูธรรมราชา
      - สวนใต้ร่มโพธิ์ ร่มไทร ใต้ร่มพระบารมี
      - สวนรู้รักสามัคคี
      - สวนพอเพียง ธกส.
      - ผลิยอดแตกใบ ด้วยน้ำพระทัยในหลวง
      - ลมหายใจแห่งสยามสวน
      - สวนพลังแผ่นดิน
      - สวนสื่อสายน้ำ สื่อพระราชหฤทัย
      - สวนการเปลี่ยนแปลงในโลกของชา
      - สวนโครงการหลวง